ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ประวัติศาสตร์ช็อกโกแลต


             เมื่อพวกเราส่วนใหญ่ ได้ยินคำว่าช็อกโกแลต อาจทำให้นึกถึงภาพ ของแท่งลูกกวาดแสนหวาน หรือว่าเคลือบอยู่บนขนม หรือไม่ ก็ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่างๆ แต่ว่าช็อกโกแลตในปัจจุบัน มันไม่ได้เหมือนกับช็อกโกแลตในอดีต ตลอดประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของช็อกโกแลต มันเป็นเครื่องดื่มมีรสขม ที่ได้รับการยกย่อง   และน้ำตาลก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมันเลย 
                  ช็อคโกแลต ทำมาจากผลของต้นคาเคา ที่ผ่านการแปรรูป ซึ่งมีถิ่นกำเนิด ในแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ผลของต้นคาเคา จะเรียกว่าฝัก แล้วแต่ละฝัก ก็จะมีเมล็ดคาเคาอยู่ประมาณ 30ถึง40 เม็ด

                   ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ว่าใครเป็นผู้ปลูกต้นคาเคา นักโบราณคดี ได้ค้นพบร่องรอยของโกโก้ที่เก่าแก่ที่สุด ในเครื่องปั้นดินเผา ที่ใช้ในวัฒนธรรม Mayo Chinchipe โบราณ เมื่อประมาณ 5,300 ปีก่อน ในแถบอเมซอนตอนบนของเอกวาดอร์
               Hayes Lavis ภัณฑารักษ์ศิลปะวัฒนธรรม จากพิพิธภัณฑ์อเมริกันอินเดียนแห่งชาติสมิธโซเนียน กล่าวว่า หม้อและภาชนะ ของชาว Olmec โบราณ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบตอนกลางของเม็กซิโก ตั้งแต่ราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล ถูกค้นพบโดยมีสาร  Theobromine  ซึ่งเป็นสารกระตุ้น ที่พบในช็อกโกแลตและชา โดยคิดว่าชาว Olmec ใช้เมล็ดคาเคาเพื่อทำเครื่องดื่มตามพิธีกรรม แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขา ไม่มีประวัติเป็นลายลักษณ์อักษร ความคิดเห็นจึงแตกต่างกันว่าพวกเขา ใช้เมล็ดคาเคาในการปรุง หรือใช้เพียงแค่เนื้อของฝักคาเคาเท่านั้น
            
               ชาว Olmec ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับช็อกโกแลต ไปยังชาว Mayan ในอเมริกากลางอย่างไม่ต้องสงสัย ที่ไม่เพียงแต่ใช้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเคารพในสิ่งนี้ด้วย ประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ของชาว Mayan  กล่าวถึงเครื่องดื่มช็อกโกแลต ที่ใช้ในงานเฉลิมฉลอง และเพื่อทำพิธีกรรมที่สำคัญ  เป็นเครื่องบรรณาการ  และเพื่อการรักษาโรค แม้ว่าช็อกโกแลต จะมีความสำคัญในวัฒนธรรมของชาว Mayan แต่ก็ไม่ได้สงวนไว้สำหรับคนร่ำรวยหรือมีอำนาจ  แต่มีให้เกือบทุกคน
                 ในครัวเรือนของชาว Mayan เกือบทุกมื้อ จะรับประทานช็อกโกแลต  เครื่องดื่มช็อกโกแลตมายัน  มีฟองที่หนา และมักผสมกับพริกหรือน้ำผึ้ง ส่วนเมล็ดคาเคา ถูกใช้เป็นสกุลเงิน  ซื้ออะไรก็ได้ ตั้งแต่อะโวคาโด ไก่งวง ไปจนถึงเซ็กส์

                    ช่วงปี  1400  จักรวรรดิ Aztec เข้ายึดครองพื้นที่ Mesoamerica เป็นส่วนใหญ่ ชาว Aztec ไม่ได้ปลูกต้นคาเคาด้วยตนเอง จึงต้องนำเข้ามา ทุกพื้นที่ที่ชาว Aztec ยึดครอง ที่ปลูกต้นคาเคา จะได้รับคำสั่ง ให้จ่ายเป็นภาษี หรือที่ชาว Aztecเรียกมันว่า เครื่องบรรณาการ 

                   ชาว Aztec ให้ค่าเครื่องดื่มช็อคโกแลตไปอีกระดับหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าช็อคโกแลต มีความเชื่อมโยงกับพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มช็อกโกแลต รสเผ็ดร้อนหรือเย็น ผสมคาเฟอีนในภาชนะที่หรูหรา และพวกเขายังใช้เมล็ดคาเคาแทนเงิน ในการซื้อขายอาหารและสินค้าอื่นๆ
                      ในวัฒนธรรม Aztec เมล็ดคาเคาถือว่ามีค่ามาก เครื่องดื่มช็อคโกแลต ในสังคม Aztec ส่วนใหญ่ เป็นความฟุ่มเฟือยของชนชั้นสูง แม้ว่าชนชั้นล่างจะชอบมัน แต่ก็ใช้เป็นครั้งคราว ในงานแต่งงาน หรืองานเฉลิมฉลองอื่น ๆ  บางทีคนที่รักช็อกโกแลต สำหรับชาว Aztec ที่โด่งดังที่สุด คงเป็นผู้ปกครอง Aztec นามว่า Montezuma ที่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ชื่นชอบการดื่มช็อกโกแลต เพื่อเพิ่มพลังและเป็นยาโป๊ว นอกจากนี้ยังกล่าวว่า  เขาสงวนเมล็ดคาเคาบางส่วน ไว้สำหรับกองทัพอีกด้วย

                        มีบันทึกที่ยังขัดแย้งกันอยู่ว่า ช็อกโกแลตเข้ามาถึงยุโรปเมื่อใด แม้จะเข้าใจกันว่า มาถึงสเปนเป็นที่แรก   เรื่องราวหนึ่งกล่าวว่า Christopher Columbus   ค้นพบเมล็ดคาเคา หลังจากการเข้าสกัดกั้นเรือแคนูพื้นเมือง ขนสินค้าขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ที่กำลังจะเดินทางไปอเมริกา  และเขาได้นำเมล็ดคาเคา กลับไปสเปนกับเขา ในปี 1502

                  อีกเรื่องหนึ่งระบุว่า Hernan Cortes ผู้พิชิต ชาวสเปน ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับช็อกโกแลต โดย Montezuma  กษัตริย์แห่ง แอซเท็ก หลังจากกลับมาถึงสเปน  พร้อมกับเมล็ดคาเคา เขาเก็บความรู้เรื่องช็อกโกแลตไว้เป็นความลับ

                      ไม่ว่าช็อกโกแลตจะไปที่สเปนได้อย่างไร ในช่วงปลายทศวรรษ 1500  ช็อกโกแลตก็เป็นที่ชื่นชอบของราชสำนักสเปน ในช่วงแรก  มักถูกใช้เป็นยา แต่รสขม ผู้คนจึงพยายามทำให้หวาน ดังนั้นเลยเพิ่มน้ำตาล วานิลลาหรือน้ำผึ้ง สิ่งนี้ทำให้มันอร่อยมาก ซึ่งบรรดาขุนนาง นิยมบริโภคช็อกโกแลตนี้เป็นยาอายุวัฒนะ ที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ และสเปนก็เริ่มนำเข้าเมล็ดคาเคา ในช่วงปี  1585  เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น อิตาลีและฝรั่งเศส ได้ไปเยือนบางส่วนของอเมริกากลาง  พวกเขายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับช็อกโกแลต  และนำเมล็ดคาเคากลับประเทศของตน ในไม่ช้า  ความคลั่งไคล้ช็อกโกแลต 
ก็แพร่กระจายไปทั่วยุโรป   ความนิยมทำไร่เมล็ดคาเคา สำหรับทำช็อกโกแลตเพิ่มสูงขึ้น   และมีการใช้แรงงานทาสจำนวนมาก ทำงานในอุตสาหกรรมนี้


                     ช็อคโกแลตยังคงเป็นเครื่องดื่ม ของชนชั้นสูงในยุโรป ไม่มีบ้านของชนชั้นสูงใด ที่จะสมบูรณ์แบบได้หากปราศจากช็อคโกแลต  ช็อกโกแลตยังคงถูกผลิตขึ้นด้วยมือ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้าและลำบาก แต่เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมใกล้เข้ามา สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป   ปี 1729 เครื่องบดเมล็ดคาเคาแบบกลไกเครื่องแรก ถูกประดิษฐ์ขึ้นในเมืองบริสตอล สหราชอาณาจักร โดย  Walter Churchman เขายื่นคำร้องถึงกษัตริย์จอร์จที่ 2แห่งอังกฤษ เขายื่นคำร้องถึงกษัตริย์จอร์จที่ 2แห่งอังกฤษ เพื่อขอจดสิทธิบัตร ต่อมาสิทธิบัตรนี้ถูกซื้อโดย JS Fry & Sons ในปี 1761  ในปี 1760 The Chocolaterie Lombart อ้างว่าเป็นบริษัทช็อกโกแลตแห่งแรกในฝรั่งเศส 
                           ในปี 1815 Coenraad van Houten จากอัมสเตอร์ดัม คือคนที่เปลี่ยนเกม เขาใส่  alkaline salts ในช็อกโกแลต ซึ่งช่วยลดความขมของช็อกโกแลตลง ต่อมาในปี 1828 เขาคิดค้นเครื่อง cocoa press ซึ่งสามารถแยกไขมันหรือเนยโกโก้ ออกจากเมล็ดคาเคา โดยเปลี่ยนเป็นผงโกโก้ละเอียดไว้ โดยเปลี่ยนเป็นผงโกโก้ละเอียดไว้ 
                            เครื่องบดเมล็ดคาเคา ทำให้เกิดยุคช็อกโกแลตสมัยใหม่ โดยทำให้เปลี่ยนเป็นผงโกโก้ สามารถใช้เป็นส่วนผสมของขนมได้ วิธีนี้ทำให้ช็อกโกแลตผลิตได้ในปริมาณมาก  ซึ่งทำให้ราคาถูกลง และผู้คนทั่วไป  สามารถซื้อและเพลิดเพลินกับช็อกโกแลตได้  ในปี  1847 บริษัทช็อกโกแลตของอังกฤษ JS Fry & Sons ได้ผลิตช็อกโกแลตแท่งที่รับประทานได้เป็นครั้งแรก จากเนยโกโก้ ผงโกโก้ และน้ำตาล ปี 1854  บริษัทช็อกโกแลต Cadbury ซึ่งได้รับเครดิตว่าเป็น ผู้บุกเบิกไอเดียช็อคโกแลตวันวาเลนไทน์  และช็อคโกแลตไข่อีสเตอร์ ได้รับสิทธิ์ผลิตและจัดส่งช็อคโกแลต  สำหรับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย จนกระทั่งในปี 1919  มีการควบรวมกิจการระหว่าง Cadburyและ JS Fry & Sons


                       ในปี 1875 Daniel Peter นักช็อกโกแลตชาวสวิส ใช้นมผงที่พัฒนาขึ้นเมื่อหลายปีก่อน โดย Henri Nestle เพื่อนบ้านของเขา เพื่อผลิตช็อกโกแล็ตนมแท่งขึ้นครั้งแรก อีก 4 ปีต่อมา ในปี 1879 ทั้ง 2 คน ได้ร่วมมือกันก่อตั้งบริษัทเนสท์เล่ จนในที่สุด ก็กลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรม การทำขนมจากยุโรปที่ใหญ่ที่สุด


                       ในปี 1879 นักประดิษฐ์ช็อกโกแลตชาวสวิสอีกคนนึง นามว่า Rodolphe Lindt ได้ประดิษฐ์เครื่อง conching machine และกระบวนการอื่นๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของช็อกโกแลต ต่อมาในปี  1899 เขาได้ขายโรงงานของเขาและสูตรในการทำธุรกิจให้กับ Lindt & Sprungli AG โดยชื่อในการซื้อขายคือ Chocoladefabriken Lindt & Sprungli AG
  

                  ปี 1893 Milton S. Hershey ได้ซื้ออุปกรณ์การแปรรูปช็อกโกแลต ในงาน World's Columbian Exposition ที่ชิคาโก้ และในไม่ช้าก็เริ่มอาชีพช็อกโกแลตของเฮอร์ชีย์ด้วยคาราเมลเคลือบช็อกโกแลต ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19  และต้นศตวรรษที่ 20 บริษัทช็อกโกแลต เช่น Cadbury Mars Nestle และ Hershey ได้ผลิตช็อกโกแลตจำนวนมาก  เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น  สำหรับผู้ที่ชื่นชอบขนมหวาน


                      คาเคาประมาณสองในสามของโลก เพาะปลูกอยู่ในแอฟริกาตะวันตก โดยที่มี ไอวอรี่โคสต์  เป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุด ส่วนประเทศอื่นๆ อย่าง กานา ไนจีเรีย และแคเมอรูน  ก็ติดอยู่ในระดับ ท็อป ของกลุ่มประเทศที่เพาะปลูกคาเคามากที่สุดในโลก



 


                             




                        
                    

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565

เครื่องปอดเหล็ก




             โปลิโอไมเอลิติส หรือโรคโปลิโอ เป็นโรคติดเชื้อที่ทำให้ทุพพลภาพ และเป็นอันตรายถึงชีวิต ไวรัสแพร่กระจายจากคนสู่คน โดยอาจทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และทำให้ระบบการหายใจไม่เป็นไปอย่างปกติ อุบัติการณ์ของโรคโปลิโอเพิ่มสูงขึ้น เป็นไปตามสัดส่วนของการแพร่ระบาด  และเครื่องปอดเหล็ก เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคโปลิโอ กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่โดดเด่นที่สุดในสมัยนั้น
        เครื่องช่วยหายใจ ที่คล้ายกับโลงศพหรือแคปซูล รู้จักกันดีในชื่อ เครื่องปอดเหล็ก เป็นเทคโนโลยีช่วยชีวิต ที่ล้ำสมัย ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20  เครื่องปอดเหล็กเครื่องแรก ถูกนำไปใช้ที่โรงพยาบาลเด็กบอสตัน เพื่อช่วยชีวิตเด็กหญิงอายุแปดขวบ ที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอในปี 1928

          เครื่องปอดเหล็ก มีขนาดใหญ่  และมีราคาแพงมาก แต่ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคโปลิโอได้หลายพันคน ลองนึกภาพความน่ากลัว ที่คุณไม่สามารถหายใจเองได้ เพราะกล้ามเนื้อปอดของคุณเป็นอัมพาต  คุณกำลังหายใจไม่ออก เมื่อทีมแพทย์ เอาตัวคุณเข้าไปในเครื่อง ที่ดูเหมือนแคปซูล คุณนอนหงายอยู่ในเครื่องปอดเหล็ก โดยที่ส่วนหัวของคุณอยู่ด้านนอกตัวเครื่อง พร้อมกับปลอกหุ้มยางรอบคอของคุณ  โดยที่คุณ อาจจะได้ยินเสียงหวือๆแปลก ๆ ที่ไหนสักแห่งในห้อง จากนั้นคุณรู้สึกโล่งใจ ที่ปอดของคุณได้สูดอากาศบริสุทธิ์  โดยบุคลากรทางการแพทย์ จะดูอาการของคุณ ผ่านทางช่องกระจกที่ติดอยู่กับตัวเครื่อง

               อุบัติการณ์ของโรคโปลิโอ  ได้มีสัดส่วนของการติดเชื้อ ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยได้แพร่ระบาดไปทั่วยุโรปและอเมริกาเหนือ และในปี 1952  สหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยติดเชื้อโปลิโออยู่ที่ 57,628 คน
            อาการที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่งของโรคโปลิโอ ก็คือกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หากอาการอัมพาต ส่งผลต่อกล้ามเนื้อหน้าอก ผู้ป่วยอาจจะหายใจได้ลำบาก และอาจถึงแก่ชีวิตได้  นักวิจัยได้มองหาเทคโนโลยี เพื่อรักษาชีวิตผู้ป่วยเหล่านี้ การแก้ปัญหานี้ มาจากทีมงานที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เครื่องปอดเหล็ก เป็นชื่อเล่นของเครื่องตัวนี้ และในไม่ช้า เจ้าเครื่องปอดเหล็ก ก็ได้กลายเป็นจุดเด่น ของหอผู้ป่วยโรคโปลิโอ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1900  ภายในปี 1939 ได้มีการใช้งานเครื่องปอดเหล็กนี้ อยู่ประมาณ 1000 เครื่องในสหรัฐอเมริกา

          Philip Drinker และ  Louis Agassiz Shaw Jr. ได้คิดค้นเครื่องปอดเหล็กตัวแรกที่  Harvard School of Public Health มันทำมาจากกล่องโลหะขนาดใหญ่ ที่มีชุดเครื่องสูบลม ติดอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง เพื่อสูบลมเข้าและออก ส่วนของร่างกายทั้งหมด จะต้องเข้าไปอยู่ในกล่องโลหะ  ยกเว้นส่วนหัวที่อยู่ข้างนอก ซึ่งในกล่องนั้นมันเป็นสูญญากาศ มีซีลยางแน่นรองรับช่วงคอ และช่วยให้อากาศไม่ไหลออก  เครื่องช่วยหายใจแบบกลไกนี้ ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่การระบาดของโรคโปลิโอในวงกว้าง ได้เป็นแรงกระตุ้น ให้นักวิจัยคิดค้นอุปกรณ์  
         ในปี 1931   John Haven Emerson  ได้ปรับปรุงการออกแบบ ของ Philip Drinker ที่พัฒนาขึ้นในปี 1928 โดยเขาได้ออกแบบ ระบบการเลื่อนเตียงเข้าและออกจากตู้ เพิ่มฟังก์ชั่น การเปิดปิดอย่างรวดเร็ว ทำเกจวัดแรงดันที่ดีขึ้น และได้เพิ่มระบบทำงานด้วยมือ ในกรณีที่ไฟฟ้าขัดข้อง นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มช่องมองจากด้านข้างอีกด้วย 
          Philip Drinker และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รู้สึกว่าเครื่องช่วยหายใจของเอเมอร์สัน  นั้นคล้ายคลึงกับของตนมากเกินไป  และฟ้องเอเมอร์สัน ฐานละเมิดสิทธิบัตรของพวกเขา แต่ทนายความของเอเมอร์สัน แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีทั้งหมด ที่Philip Drinkerใช้นั้นมีอยู่แล้ว  และไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ เอเมอร์สันชนะคดีนี้ และสิทธิบัตรทั้งหมด ถูกประกาศว่าไม่ถูกต้อง ผู้พิพากษา ยังเห็นด้วยกับเอเมอร์สัน ว่าทุกคนควรแบ่งปันเทคโนโลยี ที่ช่วยเหลือชีวิต อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาเครื่องของเอเมอร์สัน ที่มีราคาถึง 1000 ดอลลาร์ ทำให้ขายได้น้อยกว่ารุ่นของ  Philip Drinker ทางบริษัท เจ เฮช เอเมอร์สัน จึงยุติการผลิตเครื่องปอดเหล็ก ในปี 1970

           ไม่กี่ปีต่อมา เครื่องช่วยหายใจ ก็ถูกผลิตขึ้นจากความจำเป็น เมื่อโรคโปลิโอ ได้แพร่ระบาดไปยังออสเตรเลีย ในปี 1937 แต่ค่าใช้จ่ายในการซื้อ และค่าขนส่งเครื่องจากอเมริกานั้นสูงมาก จนกรมอนามัยเซาท์ออสเตรเลีย ขอให้วิศวกรชีวการแพทย์   Edward Both เสนอทางเลือกที่ถูกกว่านี้ 
               ดังนั้น  Edward Both นักประดิษฐ์ชาวเมืองแอดิเลด ได้ร่วมมือกับโดนัลด์ น้องชายของเขา ใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ในการสร้างเครื่องปอดเหล็ก โดยเครื่องช่วยหายใจ ของ Edward Both นั้นทำมาจากไม้ มันไม่เพียงแต่ราคาถูก  แต่ยังง่ายต่อการประกอบและขนส่งอีกด้วย 
            การที่ต้องเข้าไปอยู่ในเครื่องปอดเหล็ก เป็นกระบวนการ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสับสน ซึ่งหลายคน อาจจะมีอาการเพ้อหรือเจ็บปวด การที่ต้องใข้ชีวิต อยู่ในเครื่องปอดเหล็ก มันดูเป็นเรื่องยาก สำหรับทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล

            นอกจากการดูแลทางการแพทย์แล้ว อาการคัน อาการคัดจมูก การหวีผม การชำระล้างร่างกาย และการใส่หรือถอดผ้าปูเตียง จะต้องทำผ่านช่องหน้าต่างเป็นส่วนใหญ่
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับผู้ป่วย คือความเบื่อหน่าย โดยเราสามารถ ติดกระจก ไว้เหนือศีรษะของผู้ป่วยได้ เพื่อให้ผู้ป่วย เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวพวกเขา  ทั้งนี้ผู้ป่วย ยังสามารถอ่านหนังสือ ที่แขวนไว้ข้างหน้าได้ ถ้าหากมีคนช่วยเปิดหนังสือให้พวกเขา
      ผู้ป่วยจะต้องใช้เวลากับเครื่องปอดเหล็ก นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคโปลิโอ แต่ถ้าผู้ป่วย มีอาการกล้ามเนื้อหน้าอกเป็นอัมพาตแล้วล่ะก็ อาจจะต้องใช้เวลา กับเจ้าเครื่องปอดเหล็กนี้นานมากๆ

           ในปี 1950 การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ มีประสิทธิภาพมากขึ้น การติดเชื้อโปลิโอก็ลดลงอย่างมาก และความจำเป็น ที่จะต้องใช้เครื่องปอดเหล็กในโรงพยาบาลก็ลดลง และผู้ป่วย ที่ต้องพึ่งพาเครื่องปอดเหล็กนี้ ก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ ด้วยเครื่องช่วยหายใจที่ทันสมัยกว่า ผู้ป่วยโรคโปลิโอ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปนอนในกล่องเหล็ก ที่คล้ายแคปซูลอีกต่อไป ผู้ดูแลสามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้มากขึ้น อีกทั้งยังตรวจสอบ และบันทึกการหายใจหรือสัญญาณชีพอื่น ๆ ได้อีกด้วย

         เครื่องช่วยหายใจสมัยใหม่ เป็นเครื่องขนาดกะทัดรัด ที่วางอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย  ระบบระบายอากาศแรงดันบวก  PPVS ซึ่งอากาศจะถูกผลักดันเข้าไปในปอด ของผู้ป่วยโดยตรง ผ่านการใส่ท่อช่วยหายใจ